PDI คาดผลประกอบการปี 60 จะดีกว่าปี 59 มาก เหตุราคาสังกะสีโลกพุ่ง พร้อมรับรู้รายได้จากโซลาร์ฟาร์มมากขึ้น เดินหน้าลงทุนธุรกิจใหม่ต่อเนื่อง

PDI คาดผลประกอบการปี 60 จะดีกว่าปี 59 มาก  เหตุปัจจัยราคาโลหะสังกะสีโลกพุ่ง พร้อมทั้งรับรู้รายได้ธุรกิจพลังงานทดแทน ตั้งเป้าหมายลงทุนโครงการโซลาร์ฟาร์มทั้งในและต่างประเทศให้ได้ 150 เมกะวัตต์ภายใน 3 ปี พร้อมเร่งเดินหน้าธุรกิจธุรกิจวัสดุที่มีมูลค่าเพิ่มจากการรีไซเคิล และธุรกิจบริหารจัดการกากของเสียอุตสาหกรรม

นายฟรานซิส แวนเบลเลน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) (PDI) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการปี 2560 มีโอกาสที่จะเติบโตดีกว่าปี 2559 ที่มีกำไรสุทธิ 478 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 327 ล้านบาท หรือ 216% เมื่อเทียบกับปี 2558 ที่มีกำไรสุทธิ 151 ล้านบาท ซึ่งเป็นการทำกำไรสูงสุดในรอบ 5 ปี  ในปี 2560 บริษัทฯ ยังมีรายได้หลักจากธุรกิจสังกะสีกว่าร้อยละ 90 โดยจะมีผลิตภัณฑ์โลหะสังกะสีที่ผลิตจากแร่แม่สอดซึ่งมีต้นทุนต่ำอยู่อีกจำนวนกว่า 30,000 ตัน และยังมีการนำเข้าโลหะสังกะสีมาจำหน่ายอีก 30,000 ตันเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในประเทศ และหากราคาโลหะสังกะสีโลกในปี 2560 ยังคงปรับตัวสูงอยู่ในระดับ 2,600 -2,900  ดอลลาร์สหรัฐ จะส่งผลดีต่อการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปีนี้

ในปี 2560 บริษัทฯ จะมีรายได้อีกร้อยละ 10 จากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แห่งแรกที่ญี่ปุ่น ขนาด 2 เมกะวัตต์ซึ่งเปิดดำเนินการแล้วตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2559   และโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มแม่ระมาดที่จังหวัดตาก ขนาดกำลังการผลิต 6  เมกะวัตต์ ที่บริษัทฯได้เข้าซื้อกิจการในช่วงปลายปี 2559   และในปี 2560  บริษัทฯ จะรับรู้รายได้เพิ่มเติมจากโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มที่ญี่ปุ่นอีก 2  แห่งคือ โรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มโนกาตะขนาดกำลังการผลิต  10  เมกะวัตต์ และโซลาร์ฟาร์มเรียวชิยา ขนาดกำลังการผลิต 2 เมกะวัตต์ ที่จะเปิดดำเนินการภายในไตรมาสที่สองและไตรมาสที่สามปีนี้ตามลำดับ

นายฟรานซิสกล่าวว่า “ปี 2560  พีดีไอยังคงมุ่งขยายการลงทุนสู่ธุรกิจใหม่ 3 ด้านอย่างต่อเนื่องคือ ด้านพลังงาน (Energy) ด้านวัสดุ (Materials) และด้านบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม (Eco)

ขณะนี้กลุ่มธุรกิจด้านพลังงานมีความคืบหน้าไปมาก พีดีไอมีแผนการลงทุนโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศรวม 150 เมกะวัตต์ ในระยะเวลา 3 ปี

สำหรับกลุ่มธุรกิจด้านวัสดุ  มีโครงการที่สำคัญคือ โครงการพีดีไอ-ซีอาร์ที จังหวัดระยอง ซึ่งจะจัดหาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มจากการรีไซเคิลวัสดุ โครงการดังกล่าวอยู่ในขั้นตอนการออกแบบโรงงานในภาพรวมคาดว่าจะแล้วเสร็จกลางปี 2560 จากนั้นจึงเริ่มงานก่อสร้างและคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการในเชิงพาณิชย์ได้ในต้นปี 2562 โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมที่ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เมื่อปี  2559

ส่วนกลุ่มธุรกิจด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม มีโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการคือ โครงการพีดีไอ ตาก อีโค  โดยร่วมทุนกับบริษัท โดวา อีโค ซิสเต็ม จำกัด โดยอยู่ระหว่างขั้นตอนดำเนินการขอใบอนุญาตเพื่อดำเนินโครงการจัดการกากอุตสาหกรรมอย่างครบวงจร ที่จังหวัดตาก โดยรองรับกากอุตสาหกรรมได้ปีละ 50,000 ตัน จากพื้นที่ภาคเหนือและภาคกลางของประเทศไทย โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมเช่นเดียวกัน เนื่องจากสอดรับกับแผนยุทธศาสตร์การจัดการกากอุตสาหกรรมของประเทศ

“ พีดีไอเชื่อมั่นว่าโครงการต่างๆ ในสามกลุ่มธุรกิจใหม่นี้จะประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย ซึ่งจะเป็นการเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ที่จะสานต่อความแข็งแกร่งและสร้างความยั่งยืนให้กับพีดีไอต่อไป” นายฟรานซิสกล่าว