PDI รุกธุรกิจโรงแรมลุยซื้อกิจการ 2 โรงแรมใหม่ระดับโลก
ผาแดงอินดัสทรีฯ เผยคณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติการเข้าถือหุ้น 51% ในโรงแรมใหม่ระดับโลก 2 แห่ง โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา และโรงแรมคาเพลลา กรุงเทพฯ การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้เป็นการขยายธุรกิจครั้งสำคัญสู่ธุรกิจโรงแรมและการบริการอย่างเต็มตัว หลังจากได้ซื้อที่ดินแถวสาธรเพื่อพัฒนาโรงแรมเมื่อต้นปีที่ผ่านมาซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2566
คุณทอมมี่ เตชะอุบล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ PDI เปิดเผยว่าคณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติให้ PDI เข้าซื้อกิจการโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา และโรงแรมคาเพลลา กรุงเทพฯ ซึ่งมีมูลค่าสุทธิกิจการรวม 10,000 ล้านบาท โดย PDI จะเข้าถือหุ้นร้อยละ 51 ในบริษัท Urban Resort Hotel จำกัด (“FSH”) และบริษัท Waterfront Hotel จำกัด (“CPH”) ซึ่งเป็นบริษัทโฮลดิ้งที่จัดตั้งขึ้นสำหรับโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา และโรงแรมคาเพลลา กรุงเทพฯ ตามลำดับ จากบริษัท แลนด์มาร์ค โฮลดิ้งส์ จำกัด (“LH”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) มูลค่าเงินลงทุนรวม 2,805 ล้านบาท โดยโฟร์ซีซั่นส์ฯ มีห้องพักจำนวน 299 ห้อง และคาเพลลาฯ มีห้องพักและวิลล่าจำนวน 101 ห้อง ซึ่งโรงแรมทั้งสองแห่งนี้ได้เปิดดำเนินการเมื่อไม่นานมานี้และตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาดใหญ่กว่า 35 ไร่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาผืนสุดท้ายและเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของกรุงเทพฯ โดยเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวสำคัญแหล่งหนึ่งของประเทศ ในการซื้อกิจการครั้งนี้ บริษัทฯ จะใช้เงินทุนที่มีอยู่และจัดสรรไว้สำหรับการลงทุนในธุรกิจโรงแรมและการบริการ
นับเป็นโอกาสที่หาได้ยากสำหรับ PDI ในการเข้าซื้อโรงแรมระดับโลกพร้อมกันสองแห่งจะสร้างการรับรู้รายได้ทันทีและมีศักยภาพในการเติบโตอย่างมากในอนาคต การเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้จะทำให้ PDI ก้าวเข้าสู่ธุรกิจโรงแรมและการบริการอย่างเต็มตัว หลังจากบริษัทฯ ได้ซื้อที่ดินบนถนนสาธรเพื่อสร้างโรงแรมแห่งแรกเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งมีเป้าหมายที่จะพัฒนาเป็นโรงแรมระดับหรูที่มีห้องพักจำนวน 209 ห้อง โดยคาดว่าจะดำเนินการสร้างให้แล้วเสร็จภายในปี 2566 โดยมีมูลค่าโครงการประมาณ 1,500 ล้านบาท
ทั้งนี้ หากโรงแรมทั้งสองแห่งได้มีเปิดดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบในปี 2564 เป็นปีแรก บริษัทฯ คาดว่า จะมีรายได้จากโรงแรมทั้งสองแห่งรวมกันสูงกว่ารายได้จากธุรกิจพลังงานทดแทนซึ่งปัจจุบันมีโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งในประเทศไทยและญี่ปุ่นรวม 50 เมกะวัตต์ ซึ่งแม้ในสภาวะตลาดที่ยากลำบากในเวลานี้แต่โรงแรมทั้งสองแห่งก็เปิดตัวได้อย่างประสบความสำเร็จ ได้รับการตอบรับที่ดีมียอดการใช้บริการทั้งร้านอาหารซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในระดับโลกและห้องประชุมจัดเลี้ยงซึ่งมีพื้นที่ให้บริการได้กว่า 5,000 ตารางเมตรท่ามกลางทิวทัศน์ริมแม่น้ำเต็มรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์อย่างล้นหลาม
ต่อเนื่องจากการซื้อกิจการโรงแรมดังกล่าว บริษัท จะมุ่งเน้นดำเนินธุรกิจโรงแรมและการบริการเป็นหลัก นายทอมมี่กล่าวว่า ถึงแม้ธุรกิจโรงแรมและการบริการจะเพิ่งผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในรอบหลายทศวรรษจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 แต่ขณะเดียวกันก็มีช่องทางโอกาสในการลงทุนอยู่ด้วย โดยบริษัทฯ จะมุ่งเน้นการเข้าซื้อกิจการที่สามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ ได้ทันที และให้ผลตอบแทนที่ดีขึ้นในระยะยาวเมื่อธุรกิจโรงแรมและบริการฟื้นตัวซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มมูลค่าของสินทรัพย์ที่บริษัทฯ ได้เข้าไปลงทุน
ทั้งนี้บริษัท ยังได้เตรียมเงินลงทุนเพิ่มเติมผ่านการขายสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักซึ่งรวมถึงที่ดินเพื่ออุตสาหกรรมสังกะสีเดิม ตลอดจนแผนการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแก่ผู้ถือหุ้นเดิม เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับบริษัทฯ ในการลงทุนเข้าซื้อกิจการที่น่าสนใจอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้คณะกรรมการบริษัทฯ ยังได้อนุมัติแผนการขายหุ้นทั้งหมดของบริษัทที่ดำเนินกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์หรือโซล่าร์ฟาร์มในประเทศไทยกำลังการผลิตรวม 36.4 เมกะวัตต์ ซึ่งถือหุ้นโดยบริษัทย่อยของบริษัท พีดีไอ เอ็นเนอร์ยี จำกัด ให้กับบริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) “บาฟส์” ในมูลค่า 1,705 ล้านบาท และจะพิจารณาหาผู้ลงทุนซื้อโรงไฟฟ้าโซล่าร์ฟาร์มอีก 13 เมกะวัตต์ในประเทศญี่ปุ่นต่อไป
ทั้งนี้บริษัท คาดว่าจะได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นและดำเนินธุรกรรมดังกล่าวทั้งหมดให้เสร็จสิ้นภายในไตรมาสที่ 1 ของปี 2564